เราทุกคนต่างก็เคยผัดวันประกันพรุ่งกันมาบ้าง แต่การตำหนิตัวเองและบังคับตัวเองให้ ‘ลงมือทำเลย’ อาจทำให้คุณรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม แล้วถ้าเราบอกคุณว่าคำตอบของคำถามที่ว่า “วิธีเลิกผัดวันประกันพรุ่งคืออะไร” ไม่ใช่การจัดการเวลาให้ดีกว่าเดิม แต่เป็นการจัดการกับอารมณ์ให้ดีกว่าเดิมล่ะ
มีการศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะผัดวันประกันพรุ่งเมื่อต้องทำงานที่ทำให้รู้สึกวิตกกังวลหรือหนักใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติเพราะสมองของเรากำลังปกป้องเราไม่ให้เผชิญกับอารมณ์เชิงลบที่เกี่ยวข้องกับงานที่ท้าทายเหล่านั้น
งานวิจัยยังพบข้อมูลที่น่าสนใจอีกคือ ผู้ที่เห็นคุณค่าในตนเองต่ำและผู้ที่นิยมความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) สูง มีแนวโน้มที่จะผัดวันประกันพรุ่งมากกว่าคนอื่น ๆ
หากอยากทราบว่าจะมีแนวทางในการเลิกนิสัยชอบผัดวันประกันพรุ่งได้อย่างไรบ้าง สามารถอ่านบทความนี้เพื่อทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาที่่ซ่อนอยู่ รวมทั้งเรียนรู้เคล็ดลับการเพิ่ม Productivity (ปริมาณผลผลิต) ที่จะช่วยให้คุณเดินหน้าต่อไป
วิธีเลิกผัดวันประกันพรุ่ง: เริ่มจากทำความเข้าใจ ‘สาเหตุ’
บางครั้งเราผัดผ่อนการทำสิ่งต่าง ๆ ออกไปเพราะเรา “ขี้เกียจ” หรือแค่ไม่มีอารมณ์จะทำสิ่งนั้น และในบางครั้งเราผัดวันประกันพรุ่งโดยอ้างเหตุผลว่า ต้องรอให้มีความกดดันก่อนถึงจะ “ทำงานได้ดีกว่า”
ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร แต่การผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เกิดเพราะทักษะการจัดการเวลาของเราไม่ดีหรือการที่เราเป็นคน “ขี้เกียจ” เสมอไป การผัดวันประกันพรุ่งมักทำให้เราเกิดวงจรของความเครียด ความรู้สึกผิด และทำให้ Productivity ลดลง ยิ่งเลื่อนการทำงานชิ้นนั้นออกไป งานนั้นก็ยิ่งดูหนักหนามากขึ้น ซึ่งทำให้การเริ่มต้นทำยิ่งยากขึ้น
ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้เคล็ดลับการเพิ่ม Productivity เราจะมาพิจารณาก่อนว่าอะไรเป็นสาเหตุที่อาจทำให้เราผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงที่พบบ่อยมีหลายประการดังต่อไปนี้
- กลัวความล้มเหลวหรือรักความสมบูรณ์แบบ ความกังวลว่าจะไม่สามารถทำตามที่คาดหวังไว้ได้อาจกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองแบบ “แข็งทื่อ (Freeze)” ซึ่งก็คือการชะงักนิ่ง ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
- รู้สึกท่วมท้นเพราะงานชิ้นใหญ่ โปรเจ็กต์งานขนาดใหญ่อาจทำให้รู้สึกว่าควบคุมงานไม่ได้ หากไม่มีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน
- ต้องการความพึงพอใจในทันที เพราะการเลี่ยงไปทำสิ่งที่ให้ความพึงพอใจได้แบบทันทีเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการลงมือทำงานยาก ๆ
- ขาดแรงจูงใจหรือความสนใจ หากทำงานแล้วรู้สึกว่าไร้ความหมายหรือไม่พอใจในบทบาทของตน สมาธิก็จะลดลงตามธรรมชาติ
- งานมีความยากหรือไม่ได้รับการสนับสนุน หากไม่มีเครื่องมือ ความรู้ หรือคำแนะนำที่เหมาะสม ก็อาจทำให้รู้สึกว่าไม่สามารถเริ่มต้นลงมือทำได้
เริ่มต้นจากตรงนี้: เคล็ดลับเพิ่ม Productivity เพื่อจัดการกับนิสัยชอบผัดวันประกันพรุ่ง
เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการผัดวันประกันพรุ่ง มาลองแก้ไขด้วยการปรับมุมมองต่อการทำงาน:
- เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เน้นไปที่ก้าวแรกเพื่อทำให้งานดูไม่หนักมากเกินไป
- ทำสิ่งที่ยากที่สุดก่อน หรือที่เรียกว่า “การกินกบ (Eating the frog)” เพื่อสร้างแรงผลักดันในการทำสิ่งอื่น ๆ ต่อไปตั้งแต่เริ่มวัน
- มองว่างานเป็นเหมือนการเล่นเกม การมองงานแบบจริงจังน้อยลงจะช่วยลดความกดดันได้
- แบ่งงานออกเป็นชิ้นย่อยที่เราสามารถจัดการได้: ขั้นตอนเล็ก ๆ ที่ทำได้จริงจะช่วยให้เห็นความคืบหน้าชัดเจนขึ้น และช่วยลดความหนักใจที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไป
- ขอความช่วยเหลือ อย่ากลัวที่จะพึ่งพาเพื่อนร่วมงานหรือที่ปรึกษา
- หาต้นตอของปัญหา หากยังคงผัดวันประกันพรุ่งอยู่ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณไม่เหมาะสมกับงานนั้น
ต่อไปเราจะมาเรียนรู้กรอบแนวทางปฏิบัติ (Framework) ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจากคุณ Belle Wong โค้ชสุขภาพจิตของ Naluri
กรอบแนวทางปฏิบัติ A–E (A–E Framework) เพื่อเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่งแบบค่อยเป็นค่อยไป
A – Awareness (การตระหนักรู้)
สังเกตเห็นเมื่อตนเองกำลังผัดวันประกันพรุ่งและหยุดทำ ให้ถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้วกำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันอยู่ ฉันกำลังหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจ กำลังเหนื่อย หรือกำลังกลัวว่าจะทำงานออกมาไม่สมบูรณ์แบบอยู่หรือเปล่า การตระหนักรู้เป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
B – Break it down (แบ่งงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ)
งานชิ้นใหญ่จะทำให้สมองรู้สึกว่าหนักเกินไป จึงควรแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ ที่สามารถทำได้ง่ายขึ้น เช่น อีเมล 1 ฉบับ งาน 1 ย่อหน้า โทรศัพท์ 1 สาย โดยงานชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้เมื่อทำไปแล้วก็จะสะสมกลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ได้
C – Compassion (มีความเมตตาต่อตนเอง)
ขอให้คุณใจดีต่อตนเอง การผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เกิดจากความขี้เกียจเสมอไป โดยมากมักเกิดจากความเครียด ความกลัว หรือความเหนื่อยล้า มาเปลี่ยนจากการวิจารณ์ตัวเองเป็นการให้กำลังใจตัวเอง เช่น “งานนี้ยากมาก แต่ฉันกำลังพยายามทำอยู่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันนะ”
D – Do the first 5 minutes (ทำเพียง 5 นาทีแรก)
ใช้กฎ 5 นาที ซึ่งก็คือให้เริ่มทำไปก่อนเพียง 5 นาทีเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้สึกว่างานง่ายขึ้นเมื่อได้เริ่มลงมือทำ และแม้จะหยุดทำหลังครบ 5 นาที ก็เท่ากับว่างานชิ้นนั้นมีความก้าวหน้าไปบ้างแล้ว
E – Energise and reward (เติมพลังและให้รางวัล)
ยินดีกับความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้น และพักสั้น ๆ เพื่อเติมพลังให้ตนเอง การขยับร่างกาย สูดอากาศบริสุทธิ์ หรือยืดเส้นยืดสายจะช่วยปรับสมาธิและอารมณ์ ส่วนการให้รางวัลตนเองจะทำให้การทำงานกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อกดดันให้ตนเองต้อง “เลิกผัดวันประกันพรุ่งทันที” แต่เป็นการค่อย ๆ สร้่างความสัมพันธ์อันดีระหว่างตัวเองกับงาน แม้จะค่อย ๆ ทำทีละน้อยก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าแล้ว
ลุยเต็มที่: เคล็ดลับการเพิ่ม Productivity เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย
หากคุณต้องการวิธีเลิกผัดวันประกันพรุ่งที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง ลองนำเคล็ดลับการเพิ่ม Productivity ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเหล่านี้ไปปรับใช้ดู
- จัดช่วงเวลาทำงานแบบโฟกัส โดยใช้วิธีต่าง ๆ เช่น เทคนิคบริหารเวลา Pomodoro หรือกฎ 2 นาที
- ตัดสิ่งรบกวนจากอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ออกไป เพื่อจะได้มีสมาธิกับการทำงานอย่างต่อเนื่อง
- จัดพื้นที่ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยสำหรับทำงานโดยเฉพาะ เพื่อให้มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานได้มากขึ้น
- สร้างนิสัยใหม่โดยผูกมันเข้ากับสิ่งที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น ดื่มกาแฟเสร็จแล้วเขียนโน้ตทันที
- เฉลิมฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นวิธีสร้างแรงจูงใจและฉลองให้กับความก้าวหน้าของตนเอง
วิธีเลิกผัดวันประกันพรุ่ง: สร้างนิสัยการวางแผนที่ดีขึ้น
- ทำลิสต์งานเพื่อดูความคืบหน้าของตัวเอง
- ใช้แอปหรือเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ เช่น Google Calendar, Asana หรือ Notion เพื่อช่วยจัดการงานและตารางเวลาให้เรียบร้อย
- วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนจะจบวันนี้ จะช่วยให้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความชัดเจนและพร้อมทำงาน
ปรับเปลี่ยนมายด์เซ็ต (Mindset)
สุดท้ายนี้ จำไว้ว่ามายด์เซ็ตหรือกรอบความคิดมีความสำคัญไม่แพ้การลงมือทำ การปรับเปลี่ยนมายด์เซ็ตจะช่วยให้คุณมองงานในมุมที่แตกต่างออกไป จึงรู้สึกว่างานน่ากลัวน้อยลงและจัดการได้ง่ายขึ้น
- เน้นการให้ความเมตตาต่อตนเอง ไม่ควรวิจารณ์ตนเองมากเกินไป การมีความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตัวเองอาจสร้างความรู้สึกเชิงลบที่ทำให้คุณหมดกำลังใจแทนที่จะผลักดันให้ทำงานเสร็จ
- ให้รางวัลกับความพยายามด้วย ไม่ควรเน้นเฉพาะผลลัพธ์ เพราะความพยายามเป็นบ่อเกิดของความยืดหยุ่นทางจิตใจและแรงผลักดันที่จะทำงานต่อไป
- เน้นการทำอย่างสม่ำเสมอมากกว่าแรงฮึกเหิมเพียงชั่วคราว เพราะนิสัยจะคงอยู่อย่างยาวนานกว่าแรงฮึดที่เกิดขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราว
สรุป
การเรียนรู้ที่จะเลิกผัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน การฝึกสังเกตตัวเองและตั้งคำถามเชิงสะท้อนตัวเองอาจช่วยให้คุณค้นพบสาเหตุที่ทำให้ตัวคุณผัดวันประกันพรุ่งได้ จำไว้ว่าการผัดวันประกันพรุ่งคือการสร้างภาระให้ตัวเองในอนาคต
โค้ชมากประสบการณ์ของเราใส่ใจและให้ความสำคัญกับเส้นทางอาชีพของคุณไม่แพ้ตัวคุณเอง หากคุณสนใจสามารถจองการปรึกษาส่วนตัวแบบเฉพาะบุคคลกับโค้ชสุขภาพจิตหรือโค้ชผู้บริหารของ Naluri และเริ่มกำหนดเส้นทางอาชีพของคุณได้ตั้งแต่วันนี้