Skip to content
What Your Heart’s Been Trying to Tell You_ 7 Subtle Signs It Needs More Love
นัลลูรี่1 min read

อยากรู้ไหม…หัวใจกำลังบอกอะไรกับคุณ: ชวนสังเกต 7 สัญญาณที่เตือนว่าต้องดูแลหัวใจให้ดีกว่าเดิม

ในปัจจุบันนี้ จำนวนคนที่ป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะทุกวันนี้คนเราใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ อาหารที่กินก็ไม่ครบตามความต้องการของร่างกาย แถมยังต้องเผชิญกับความเครียดในระดับสูง

ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet ที่รายงานว่า มีประชาชนในประเทศเทศกลุ่มอาเซียนป่วยเป็นโรคหัวใจมากถึง 36.8 ล้านคนในปี 2021 เพียงปีเดียว โดยในประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ลาว และมาเลเซีย มีอัตราการเพิ่มขึ้นของโรคหัวใจอย่างรวดเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้

ถึงแม้โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดจะฟังดูน่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วโรคเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพียงแค่หมั่นสังเกตสัญญาณเตือนที่ร่างกายส่งมา และในบทความนี้คุณจะได้รู้จักกับ 7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า หัวใจของคุณกำลังต้องการความรักความเอาใจใส่ที่มากขึ้นกว่าเดิม

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด

เราทุกคนต่างทราบดีว่า หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ อวัยวะขนาดเท่ากำปั้นอวัยวะนี้ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ และเป็นศูนย์กลางของระบบหัวใจและหลอดเลือด หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดและส่งออกซิเจนไปยังทุกเซลล์ในร่างกาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากหัวใจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น

โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular diseases หรือ CVDs) เป็นกลุ่มโรคที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือด จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) โรคหัวใจและหลอดเลือดที่พบบ่อยมีหลายโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ (อาจนำไปสู่อาการหัวใจวาย) โรคหลอดเลือดสมอง (อาจนำไปสู่อาการเส้นเลือดสมองแตกหรือตีบ) โรคหัวใจรูมาติก และโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

โดยมากโรคเหล่านี้ยิ่งนานไปอาการก็มักจะรุนแรงยิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมีดังต่อไปนี้

  • ความดันโลหิตสูง

  • ไขมันในเลือดสูง
  • การสูบบุหรี่
  • โรคเบาหวาน

  • การไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย

  • การกินอาหารที่ไม่เหมาะสม
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

หากมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ก็จะช่วยให้สามารถรับมือได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้อย่างมาก

7 สัญญาณเตือนโรคหัวใจที่ควรสังเกต

หากเป็นเรื่องของสุขภาพของหัวใจ ยิ่งพบปัญหาเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะยิ่งนานโรคหัวใจและหลอดเลือดก็มักทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเงียบ ๆ ไม่เพียงเท่านั้น คนยังมักเข้าใจผิดว่าอาการของโรคหัวใจเป็นอาการที่เกิดจากความเครียด อายุที่เพิ่มมากขึ้น หรือปัญหาสุขภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างอื่น

หากสามารถสังเกตเห็นสัญญาณเตือนของโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยให้รับมือกับโรคได้อย่างทันท่วงที โดยการรับมือมักเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ร่วมกับการดูแลรักษาทางการแพทย์ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในอนาคตได้

เมื่อคุณหันมาใส่ใจและคอยสังเกตสัญญาณเตือนเบา ๆ ที่ร่างกายส่งมา คุณก็จะมีโอกาสสูงที่จะปกป้องหัวใจตนเองได้ก่อนที่หัวใจจะเสียหายจากโรคภัย และนี่คือ 7 สัญญาณที่คุณควรสังเกตเพื่อป้องกันโรคหัวใจ

1. Constant feelings of fatigue รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา

ถ้าคุณรู้สึกหมดแรงอยู่ตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่นอนหลับพักผ่อนมาแล้วอย่างเต็มที่ ต้องคอยจับตาดูให้ดี เพราะหัวใจของคุณอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ เหตุผลคือถ้าหัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ กล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ก็อาจไม่ได้รับออกซิเจนในปริมาณที่มากพอ ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา

ความอ่อนเพลียในลักษณะนี้มักค่อย ๆ เกิดขึ้นโดยที่คุณเองไม่ทันได้สังเกต และคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะความเครียด หรือไม่ก็ “อายุที่มากขึ้น”

รับมืออย่างไรดี: หากมีอาการนี้ คุณควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อน หาวิธีจัดการความเครียด และกินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนเพื่อช่วยเติมพลังให้ร่างกาย แต่ถ้าลองทำแล้วยังคงอ่อนเพลียอยู่หรืออาการมีความรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจดูการทำงานของหัวใจ

2. หายใจลำบากขณะทำกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวัน

คุณเคยรู้สึกว่าหายใจลำบากตอนเดินขึ้นบันไดหรือตอนต้องแบกของหนัก ๆ จากซูเปอร์เข้าบ้านบ้างหรือเปล่า หากเคยมีอาการ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าหัวใจของคุณไม่สามารถสูบฉีดเลือดที่อุดมด้วยออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ

อาการนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวระยะแรก หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ แต่คนมักไม่สังเกตเห็น และจะมาเห็นอีกครั้งตอนที่อาการเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว

รับมืออย่างไรดี: หากคุณมีอาการนี้ ให้คอยสังเกตว่าอาการหายใจลำบากเกิดขึ้นตอนไหนบ้าง และมีความรุนแรงแค่ไหน คุณอาจลองทดสอบด้วยการทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น การเดิน แต่หากอาการแย่ลงควรหยุดทำทันที และหากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์

3. เท้าหรือข้อเท้าบวม (ภาวะบวมน้ำ)

ถ้าเท้าหรือข้อเท้าของคุณบวมในตอนเย็นเป็นประจำ อาจเป็นเพราะการไหลเวียนเลือดของคุณไม่ดี จึงทำให้เกิดการสะสมของน้ำ โดยเฉพาะที่บริเวณขาและเท้า การสะสมน้ำนี้เรียกว่าอาการบวมน้ำ (Oedema) ซึ่งเป็นสัญญาณที่พบบ่อยของภาวะหัวใจล้มเหลว

รับมืออย่างไรดี: นอนยกเท้าสูง และจำกัดการกินอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก เพราะเกลืออาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้ได้

หากทำตามคำแนะนำเบื้องต้นแล้วอาการบวมยังไม่หายไป ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงของการบวมน้ำ ซึ่งนอกจากโรคหัวใจแล้วก็อาจมาจากโรคอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น โรคไต โรคตับ

4. หัวใจเต้นผิดจังหวะ

เป็นเรื่องปกติหากหัวใจจะเต้นกระตุกไปบ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเครียด ซึ่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลเอาไว้ว่า อาการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อสัญญาณไฟฟ้าที่สั่งให้หัวใจเต้นนั้นทำงานผิดปกติไป

แต่หากคุณสังเกตว่าหัวใจของคุณสั่น เต้นแรง หรือเต้นเร็วอยู่บ่อยครั้งโดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด นี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)

รับมืออย่างไรดี: ลดการบริโภคสารกระตุ้นอย่างคาเฟอีน เพราะอาจกระตุ้นให้บางคนเกิดความวิตกกังวล พยายามทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น หายใจเข้าออกลึก ๆ หรือทำสมาธิ

หากอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เกิดนานเกินกว่า 2-3 นาที หรือมีอาการเวียนศีรษะหรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

5.เวียนศีรษะหรือมึนงง

หากคุณเคยรู้สึกว่าจะเป็นลมหรือทรงตัวได้ไม่มั่นคง โดยเฉพาะเวลาที่จะลุกขึ้นยืน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าความดันของคุณต่ำ หรือหัวใจของคุณทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ อาการสมองล้า (Brainfog) ยังอาจเกิดจากการที่สมองมีเลือดไปเลี้ยงน้อย เมื่อเกิดอาการนี้อาจหมายความว่าสมองของคุณไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาหัวใจที่ซ่อนอยู่

รับมืออย่างไรดี: ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากนั่งหรือนอนอยู่แล้วต้องการลุกขึ้น ก็ควรค่อย ๆ ลุก ไม่ควรลุกแบบพรวดพราด หากอาการเวียนศีรษะเกิดขึ้นบ่อยหรืออาการมีความรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจความดันโลหิต รวมทั้งแพทย์อาจมีการติดตามการทำงานของหัวใจ

6.กรนหรือหายใจเฮือกในขณะหลับ

ปัญหาการกรนเสียงดัง หายใจเฮือก (Gasping) หรือตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่น อาจดูเหมือนเป็นปัญหาการนอนหลับที่ไม่มีอันตราย แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) ซึ่งเป็นภาวะมีการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ในระหว่างที่นอนหลับ

การหยุดหายใจขณะหลับเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น จึงเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง รวมทั้งหัวใจวาย มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งได้พิมพ์ในวารสาร JAMA เมื่อปี 2023 พบว่า ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นถึง 60-80 เปอร์เซ็นต์

รับมืออย่างไรดี: หากมีคนบอกคุณอยู่ตลอดว่า คุณมีอาการนอนกรนเสียงดังหรือหยุดหายใจขณะหลับ หรือคุณตื่นมาแล้วรู้สึกเหนื่อย ๆ ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เป็นประจำ คุณอาจหาเวลาไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษา แต่ข่าวดีก็คือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การบำบัดด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกต่อเนื่อง (CPAP) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้อย่างมาก และช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีอาการให้ดีขึ้นได้

7. รู้สึกไม่ค่อยสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบผิดปกติบริเวณกราม คอ หลัง หรือท้อง

อาการเจ็บปวดที่เกี่ยวกับหัวใจนั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบริเวณหน้าอกเสมอไป บางครั้งอาจเกิดขึ้นในบริเวณอื่นของร่างกาย เช่น รู้สึกเจ็บแบบแปลก ๆ ที่กราม รู้สึกเหมือนมีแรงกดที่บริเวณหลังส่วนบน หรือรู้สึกไม่ค่อยสบายบริเวณท้อง โดยอาการเหล่านี้อาจไม่รุนแรง รู้สึกได้ไม่ชัดเจน และบ่อยครั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการที่เกิดจากกล้ามเนื้อตึงเคล็ด อาหารไม่ย่อย หรือความเครียด

อาการที่ไม่ได้เกิดบริเวณหน้าอกนี้พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 55 ปี และอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจขาดเลือด (ซึ่งเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง) หรือแม้กระทั่งหัวใจวายแบบ “เงียบ” ซึ่งก็คือหัวใจวายที่เกิดขึ้นโดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงแบบที่มักพบในกรณีหัวใจวายส่วนใหญ่

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Circulation เมื่อปี 2023 พบว่า ผู้หญิงในช่วงอายุนี้มีแนวโน้มที่จะแสดงอาการของโรคหัวใจในรูปแบบที่ไม่ตรงตามแบบแผนทั่วไปมากกว่า

รับมืออย่างไรดี: อย่ามองข้ามอาการไม่สบายเพียงเพราะไม่ใช่อาการที่เกิดบริเวณหน้าอก ควรสังเกตว่าอาการนั้นทำให้รู้สึกอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อใด (โดยเฉพาะเมื่อเครียดหรือออกแรง) และเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานแค่ไหน หากเป็นอาการที่ผิดปกติ เกิดขึ้นอย่างเรื้อรัง หรือมีอาการเหนื่อยล้าหรือหายใจลำบากร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์ เพราะหัวใจของคุณอาจกำลังพยายามส่งสัญญาณสำคัญบางอย่างให้คุณรู้อยู่

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง

หัวใจของคนเราชอบการเคลื่อนไหว แต่เราไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก ๆ เพื่อให้หัวใจมีความสุข เพียงแค่ทำกิจกรรมที่มีความหนักในระดับต่ำถึงปานกลางอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ และลดความดันโลหิตลง

มาฟิตหัวใจให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ

  • การเดินเร็ว (Brisk Walking) เดินเร็วเพียงวันละ 30 นาทีก็สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มความทนทาน (Endurance) ได้
  • การว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ ได้ใช้กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แถมยังถนอมข้อต่ออีกด้วย
  • การปั่นจักรยาน เป็นการออกกำลังกายที่ทั้งดีต่อสุขภาพหัวใจและช่วยเสริมความแข็งแรงของขา
  • การเต้น เป็นการออกกำลังที่สนุกสนาน ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และช่วยให้อารมณ์ดี
  • การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบเบา ๆ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้หัวใจไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อยากแนะนำให้คุณเริ่มออกกำลังกายได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องออกกำลังนาน แค่ 5-10 นาทีก็ได้ และไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก สิ่งที่สำคัญคือความสม่ำเสมอ

Heart-healthy cardio workouts to try

บทสรุป

โรคหัวใจและหลอดเลือดในช่วงเริ่มต้นอาจไม่ได้แสดงอาการที่ชัดเจนเสมอไป แต่นาน ๆ ไปอาการมักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีสัญญาณเตือนที่สังเกตเห็นได้ยาก ดังนั้น หากมีการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ และเช็กสุขภาพอยู่เป็นประจำก็จะช่วยปกป้องสุขภาพของคุณได้ระยะยาว

เรากำลังใช้ชีวิตในโลกที่การแพทย์มีความก้าวหน้าและสามารถใช้ยารักษาโรคได้อย่างหลากหลาย แต่จะดีกว่าไหมหากมีทางเลือกที่เป็นธรรมชาติมากกว่านั้น สิ่งที่หัวใจของคุณต้องการมีเพียงแค่การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ สารอาหารที่เพียงพอ การพักผ่อน ความสัมพันธ์ที่ดี และการดูแลตัวเอง ในบางครั้งการรักหัวใจของตัวเองก็เริ่มต้นด้วยการตั้งใจสังเกตสัญญาณจากหัวใจ

มาเริ่มต้นดูแลสุขภาพของตัวเองตั้งแต่วันนี้ด้วยการแชทไปปรึกษาแพทย์ของ Naluri หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมว่าการดูแลสุขภาพเหงือกส่งผลต่อหัวใจอย่างไร สามารถดาวน์โหลดเอกสารประจำเดือนกันยายนของเราได้ที่นี่