ในบางวันนั้นการที่เราสามารถพาตัวเองไปถึงที่ทำงานได้ก็ถือเป็นความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง ในสายตาของคนอื่น คุณมาทำงานและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจนั้นคุณกำลังต่อสู้กับความรู้สึกที่แสนหนักหน่วงอยู่อย่างเงียบ ๆ ซึ่งทำให้คุณไม่มีอารมณ์ร่วมกับงาน รู้สึกเหนื่อยล้า และตั้งคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำงานไปเพื่ออะไร
นั่นคือผลเสียของการฝืนตัวเองไปเรื่อย ๆ ที่คนมักไม่รู้ เมื่อการทำงานไม่ใช่เรื่องของการทุ่มทำอย่างเต็มที่ที่สุดอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องของการประคองตัวให้รอดไปวัน ๆ ถ้าคุณรู้สึกว่าเรื่องนี้ตรงกับตัวเอง อยากให้รู้ว่าคุณไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่เพียงลำพัง มีคนอีกมากมายที่ไม่กล้าให้ความสำคัญกับตัวเองเมื่อเป็นเรื่องงาน เพราะรู้สึกผิดหรือรู้สึกละอายใจว่าเราเองก็ควรจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ให้ได้เหมือนคนอื่น
เราทุกคนต่างก็เป็นนักวิจารณ์ที่โหดร้ายที่สุดต่อตัวเอง บางครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิตัวเองว่า “ยังพยายามไม่มากพอ” แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนความคิดและมองในมุมใหม่ว่า การพักผ่อนหรือการหยุดพักไม่ใช่เรื่องของ “ความขี้เกียจ”
เนื่องในโอกาสวันสุขภาพจิตโลก เราจะมาพูดถึงผลเสียที่ซ่อนเร้นซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตใจของคุณ เมื่อคุณฝืนทนทำงานทั้ง ๆ ที่พลังใจไม่เหลือแล้ว ซึ่งการหยุดพักนั้นแท้จริงแล้วช่วยให้เกิดก้าวหน้า ไม่ใช่อุปสรรคต่อความก้าวหน้าแต่อย่างใด
เมื่อการไปทำงานให้ความรู้สึกเหมือนภาระอันหนักอึ้งอย่างหนึ่ง
ในโลกที่เน้นผลผลิตสูงสุด ซึ่งวัฒนธรรมคลั่งงาน (Hustle Culture) ส่งเสริมให้เกิดความเครียดและไม่มีเวลาหยุดพักสำหรับคนที่ต้องการพัก การฝืนตัวเองไปเรื่อย ๆ เพื่อทำงานจึงมักเป็นทางเลือกเดียวที่มี สิ่งนี้ทำให้เราบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ให้เชิดหน้าสู้ไว้ แล้ววันหนึ่งเราจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
หากถามว่าความยากของมันอยู่ที่ตรงไหน คำตอบก็คือเพราะมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นเอง คนมักคิดว่าคุณยังโอเคอยู่ เพราะคุณ “ยังคงไปทำงานได้” ทำให้บางครั้งทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้างเผลอมองข้ามการต่อสู้อย่างเงียบ ๆ ที่คุณกำลังเผชิญอยู่
และหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล มันก็ส่งผลเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
- รู้สึกเฉยชาหรือหงุดหงิดง่าย คุณจะสังเกตเห็นว่าตัวเองระเบิดอารมณ์กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรู้สึกไม่มีอารมณ์ร่วมกับงานที่เคยรักอีกต่อไป
- ตัดสินใจไม่ดีหรือทำงานพลาด ความเหนื่อยล้าทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้ นำไปสู่ความผิดพลาดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรือทำให้งานล่าช้า
- หมดไฟอย่างช้า ๆ ยิ่งคุณฝืนตัวเองต่อไปโดยไม่แก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ยิ่งยากที่จะฟื้นตัวกลับมา หากคุณไม่ขอความช่วยเหลือ
การขาดงานกับภาวะฝืนทำงาน ปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน 2 แบบที่มีความแตกต่างกัน
เมื่อพูดถึงสุขภาวะในที่ทำงาน การขาดงาน (Absenteeism) ซึ่งก็คือการที่พนักงานไม่มาทำงาน มักเป็นเรื่องหลักที่คนให้ความสำคัญ แต่ก็ยังมีปัญหาอีกแบบหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ มากกว่า นั่นก็คือภาวะฝืนทำงาน (Presenteeism) ซึ่งเป็นการที่ตัวของพนักงานอยู่ในที่ทำงาน แต่จิตใจและอารมณ์กลับเหนื่อยล้าและไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า
การขาดงานแตกต่างจากภาวะฝืนทำงานตรงที่สามารถมองเห็นได้และวัดผลได้ เช่น การขาดงานบ่อยโดยไม่แจ้งล่วงหน้า การมาสาย หรือการกลับก่อนเวลาบ่อย ๆ ในขณะที่ภาวะฝืนทำงานมีลักษณะตรงกันข้ามเพราะสังเกตเห็นได้ยากกว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด และยืดเยื้อเกินกว่าที่ควรจะเป็น
เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของภาวะฝืนทำงาน การสำรวจ AIA Vitality ปี 2019 ในหัวข้อ “สถานที่ทำงานที่มีสุขภาพดีที่สุดในมาเลเซีย” พบว่า ในปี 2019 มาเลเซียสูญเสียเวลาทำงานไปโดยเฉลี่ย 73.3 วันต่อพนักงาน 1 คนต่อปี ทั้งจากการขาดงานและภาวะฝืนทำงาน เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ที่่ทำการสำรวจ
ตารางด้านล่างแสดงความแตกต่างในด้านต่าง ๆ ระหว่างการขาดงานและภาวะฝืนทำงาน
ด้าน |
การขาดงาน |
ภาวะฝืนทำงาน |
ความหมาย |
ไม่มาทำงานเพราะป่วย เครียด หรือเหตุผลส่วนตัว |
พนักงานมาทำงาน แต่ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีความเครียด ความเหนื่อยล้า หรือปัญหาสุขภาพ |
การสังเกต |
สังเกตเห็นได้ง่าย จากการที่พนักงานไม่มาทำงาน |
ตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากพนักงานยังคงมาทำงาน เพียงแต่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับงานหรือทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร |
ผลกระทบต่อพนักงาน |
สูญเสียรายได้ (หากเป็นการลาหยุดแบบไม่ได้รับค่าจ้าง) เกิดความรู้สึกผิด ทำงานไม่ทัน |
เกิดการแยกตัวทางอารมณ์ เหนื่อยล้า ทำงานพลาดบ่อย สุขภาพจิตหรือสุขภาพกายแย่ลง |
ผลกระทบต่อที่ทำงาน |
งานหยุดชะงักในระยะสั้น ขาดแคลนพนักงาน |
ประสิทธิภาพในการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ความคิดสร้างสรรค์ลดลง และส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและประสิทธิภาพของพนักงานอย่างเงียบ ๆ |
ผลเสียในระยะยาว |
งานล่าช้า พนักงานคนอื่นมีภาระงานเพิ่มมากขึ้น |
มีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดพลาด ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) การลาออกเพิ่มมากขึ้น และสุขภาวะในที่ทำงานแย่ลง |
การหยุดพักเพื่อก้าวต่อไปอย่างทรงพลัง
การเรียนรู้ที่จะถอยหลังและหยุดพักชั่วคราวในขณะที่คุณติดอยู่ในวงจรของการฝืนทำงานอาจทำให้รู้สึกขัดกับความเคยชินของตัวเอง แต่การรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดและเมื่อใดควรขอความช่วยเหลือจะช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นทางจิตใจอย่างแท้จริง โดยสามารถดูแนวทางได้จากกรอบแนวคิดต่อไปนี้ แล้วนำไปปรับใช้ได้ตามต้องการ
- สังเกตสัญญาณเตือน หากคุณรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลาแต่ก็ “ยุ่งมาก” จนหยุดพักไม่ได้ นั่งเหม่อในที่ประชุม รู้สึกไม่อินกับงานแม้ตอนที่กำลังนำเสนองาน สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่บอกคุณว่าถึงเวลาให้ความสำคัญกับการหยุดพักแล้ว
- บอกได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไร การยอมรับว่า “ฉันกำลังรู้สึกไม่โอเค” อาจทำให้คุณรู้สึกกลัว แต่การรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังรู้สึกอยู่นั้นคืออะไรคือก้าวสำคัญที่ทรงพลังซึ่งจะช่วยให้คุณก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
- เริ่มจากการทำสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น เดิน 10 นาที หยุดพักเพื่อตั้งสติ หรือกำหนดขอบเขตด้วยการเรียนรู้ที่จะพูดปฏิเสธ
หากคุณเป็นหัวหน้าทีม สิ่งสำคัญที่ควรทำคือการสื่อสารให้คนในทีมทราบว่า การพักหรือการหยุดชั่วคราวเป็นเรื่องปกติและเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยา (Psychological Safety) คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้คนในทีมรู้สึกสบายใจที่จะพูด แสดงความคิดเห็น และแสดงความอ่อนแอได้
ตามผลสำรวจของ McKinsey พบว่า พนักงานมากถึง 89% เชื่อว่าความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยาในที่ทำงานเป็นสิ่งจำเป็น
เริ่มต้นด้วยการพูดคุยในเรื่องที่นอกเหนือจากตัวชี้วัด (KPIs) ด้านการทำงาน เช่น พูดคุยเพื่อเช็กพลังกายพลังใจของคนในทีม และทำสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยา
สุขภาพจิตในที่ทำงาน การสร้างความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยาสำหรับการทำงาน
- เปิดกว้างเพื่อเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น ยอมรับความผิดพลาดและแบ่งปันบทเรียนที่ได้เรียนรู้ให้กันและกัน
- เชิญชวนให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น ถามความเห็นของทุกคนอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะจากคนในทีมที่มักเงียบหรือไม่กล้าพูดแสดงความเห็น
- ทำให้เรื่องการหยุดพักเป็นเรื่องปกติ แสดงออกให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าการพักและการไม่ได้ “พร้อมทำงานตลอดเวลา” เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
- ตอบสนองด้วยความรอบคอบและใส่ใจ รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นโดยไม่วิจารณ์หรือด่วนสรุป
- กำหนดขอบเขตเล็ก ๆ ส่งเสริมให้พูดปฏิเสธ และชี้แจงสิ่งที่คาดหวังให้ชัดเจน
ความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยาจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้นำแสดงความเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยการยอมรับความผิดพลาด รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งจะส่งสัญญาณให้พนักงานรับรู้ว่า พวกเขาก็สามารถแสดงความเป็นมนุษย์ได้เช่นกัน
ทำแบบประเมินสุขภาพจิตของ Naluri
การมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมเริ่มต้นได้ด้วยการตระหนักรู้ การทำแบบประเมินสุขภาพจิตจะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของตนเองและสามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มาลองทำแบบประเมินสุขภาพจิตของ Naluri ซึ่งคุณจะได้รับทรัพยากรและคำแนะนำฟรีตามระดับความเสี่ยงของคุณอีกด้วย
นอกจากนั้น แบบประเมินยังมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของคุณ ซึ่งช่วยให้ Naluri เข้าใจปัจจัยในชีวิตที่อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณได้
หากสนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญวันสุขภาพจิตโลก 2025 ของเราได้ที่นี่