คุณตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเพลีย ๆ เบลอ ๆ แถมในบางครั้งอาจรู้สึกหงุดหงิดนิด ๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังฝืนลุกจากเตียงเพื่อไปทำงานตามปกติ อาการที่ว่ามานี้ที่ฟังดูคุ้น ๆ สำหรับคุณหรือเปล่า หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการแบบนี้ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังถูกงานถาโถมจนใจของคุณรับมือไม่ไหว
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมรับว่าพาตัวเองไปทำงานในออฟฟิศ แต่จิตใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่โฟกัสหรือไม่อยากมีส่วนร่วมกับงานที่ทำ โดยเรามักเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนที่เกิดขึ้นนี้ และพยายามหลอกตัวเองว่าถ้าปิดดีลนี้ได้ หรือถ้าทำโปรเจ็กต์นี้เสร็จ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
ฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ แค่กำหนดเวลาไว้แล้วตั้งความหวังว่าเดี๋ยวความรู้สึกแบบนี้จะหายไปเอง แต่ความจริงแล้ววงจรนี้จะไม่หายไปไหน มันจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น จนกว่าคุณจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี่เรายังไหวไหมนะ?”
เนื่องในโอกาสวันสุขภาพจิตโลก ในเดือนตุลาคมนี้เราจะมาพูดคุยกันในประเด็นที่ว่า จะสังเกตได้อย่างไรว่าเรากำลังมีความรู้สึกท่วมท้นอยู่ภายในใจจากงานที่เครียดและกดดัน และจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อหยุดวงจรนี้
ความรู้สึกที่ถูกงานถาโถมจนจิตใจรับไม่ไหว ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่จะรับรู้และเข้าใจได้ในทันที ความรู้สึกนี้มักก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ โดยคุณจะยังคงไปทำงานได้ตามปกติและทำงานเสร็จตามหน้าที่ แต่คุณจะไม่เหลือแรงกระตุ้นอีกต่อไปและไม่รู้สึกว่าตนเองมีเป้าหมายในการทำสิ่งต่าง ๆ
แม้จะฟังดูคล้ายกับภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือภาวะฝืนทำงาน (Presenteeism) ซึ่งก็คือการที่ฝืนทำงานทั้ง ๆ ที่จิตใจหรือร่างกายไม่พร้อม จึงไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยภาวะฝืนทำงานมีความแตกต่างจากการขาดงาน (Absenteeism) ตรงที่คุณพาตัวเองมาทำงาน (ไม่ได้หยุดงาน) แต่จิตใจกลับไม่โฟกัสหรือไม่อินกับงานที่ทำ
ในปัจจุบันนี้การทำงานเกินขีดจำกัดถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติและน่ายกย่อง จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับแรกและรู้ว่าเมื่อไรที่ควรหาเวลาให้ตนเองได้หยุดพัก
ข้อมูลตัวเลขสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี จากการสำรวจ AIA Vitality ปี 2019 ในหัวข้อ “สถานที่ทำงานที่มีสุขภาพดีที่สุดในมาเลเซีย” พบว่าในปี 2019 มาเลเซียสูญเสียวันทำงานไปเฉลี่ย 73.3 วันต่อพนักงาน 1 คนต่อปี ทั้งจากการขาดงานและภาวะฝืนทำงาน เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ที่สำรวจ
แต่คุณไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงลำพัง มาดูสัญญาณเตือนที่สำคัญต่อไปนี้ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเพื่อตรวจสอบตนเองได้
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณมีอาการต่อไปนี้บ่อยแค่ไหน
สัญญากับตัวเองว่า “ถ้าพ้นสัปดาห์นี้ไปได้จะหยุดพัก” มา 3 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว
ถ้าคุณมีข้อใดข้อหนึ่งที่ตรงกับสัญญาณข้างต้น ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คุณกำลังถูกงานถาโถมจนหมดพลังใจ ซึ่งสิ่งที่คุณต้องทำก็คือการปรับมุมมองความคิดใหม่
Belle Wong โค้ชสุขภาพจิตจาก Naluri ได้แนะนำกรอบแนวคิด ‘6Ns’ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้คุณได้หยุดพัก ทำจิตใจให้สงบ และก้าวไปข้างหน้าได้ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างนิสัยเล็ก ๆ ที่ทำได้ง่าย ซึ่งจะช่วยให้วันที่หนักหนาในภายภาคข้างหน้า กลายเป็นวันที่เราพอจะรับมือได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
เมื่อคุณจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหรือไม่สนใจอะไร อาจทำให้คุณเองหรือคนอื่นเกิดความเข้าใจผิดว่าตัวคุณเป็นคน “ขี้เกียจ” ได้ง่าย ๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณดูเหมือนคนไม่ใส่ใจการงานก็มักจะเกิดจากการที่ระบบประสาทของคุณต้องทำงานหนักเกินไป เนื่องจากร่างกายของคุณพยายามจะรักษาพลังงานไว้ในยามที่คุณเครียดแบบเรื้อรัง ไม่ได้เกิดจากลักษณะนิสัยที่บกพร่องของคุณ
แต่เมื่อมันเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญก็คือเราควรสังเกตเรื่องราวหรือข้อความที่เราส่งให้ตัวเอง บ่อยครั้งที่เรารู้สึกอายและเริ่มเชื่อว่าตัวเราคือสาเหตุของปัญหา
หรือคิดว่าแค่ต้องพยายามมากขึ้น เพราะคนอื่นดูเหมือนจัดการได้ดีใช่ไหม? ต่อไปเราจะมาดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างเมื่อร่างกายของคุณบังคับให้คุณต้องฟังมัน
แม้การกำหนดขอบเขตเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจไปบ้างในตอนแรก แต่จำไว้ว่าการได้หยุดพักจะช่วยฟื้นฟูศักยภาพของคุณกลับมาได้
ความรู้สึกที่ถูกงานถาโถมจนหมดพลังใจสามารถกระตุ้นอารมณ์ลบได้หลายแบบ รวมถึงความรู้สึกผิดและความรู้สึกละอายใจด้วย ซึ่งในบางครั้งมันก็เป็นเรื่องง่ายกว่าที่เราจะทำเป็นไม่รับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นและซ่อนมันไว้ เพราะเราถูกบังคับให้ยอมรับว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติ แต่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น
การยอมรับความรู้สึกของตัวเองเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูพลังใจ ในครั้งต่อไปที่คุณถูกงานถาโถมจนรู้สึกว่ารับมือไม่ไหว ให้ลองนำคำถามเหล่านี้มาคิดทบทวนดู
การมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมเริ่มต้นได้ด้วยการตระหนักรู้ การทำแบบประเมินสุขภาพจิตจะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของตนเองและสามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มาลองทำแบบประเมินสุขภาพจิตของ Naluri ซึ่งคุณจะได้รับทรัพยากรและคำแนะนำฟรีตามระดับความเสี่ยงของคุณอีกด้วย
นอกจากนั้น แบบประเมินยังมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตการทำงานของคุณ ซึ่งช่วยให้ Naluri เข้าใจปัจจัยในชีวิตที่อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณได้
หากสนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญวันสุขภาพจิตโลก 2025 ของเราได้ที่นี่